ในบทความที่ผ่านมาเราได้ทำความรู้จักกับ WordPress มาพอสมควรแล้ว ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเริ่มลงมือทำกันแล้ว สำหรับขั้นตอนการทำเว็บไซต์ด้วย WordPress แบบง่าย มีขั้นตอนดังนี้
Domain name คือ ชื่อเว็บไซต์ที่คุณเลือกเพื่อเอาไว้เป็นช่องทางให้ผู้อื่นติดต่อกับเว็บไซต์ของเรา
Hosting คือ พื้นที่ที่ใช้สำหรับจัดเก็บเว็บไซต์ที่เราสร้างขึ้นมา
ซึ่งจะต้องจดทะเบียน Domain name และทำการเช่าใช้งาน Hosting ให้เรียบร้อย
ในขั้นตอนถัดมาต้องดาวน์โหลด WordPress มาใช้งานโดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่wordpress.org หรือ th.wordpress.org สำหรับเวอร์ชั่นภาษาไทย
เมื่อทำการดาวน์โหลดและติดตั้งเรียบร้อยแล้วเราก็จะต้องดำเนินการลงทะเบียนและกรอกรายละเอียดเพื่อลงทะเบียนเข้าใช้งาน เพียงแค่นี้ก็พร้อมจะใช้งาน WordPress เพื่อสร้างเว็บไซต์เป็นของตัวเองได้แล้ว
เมื่อเข้ามาใน WordPress สิ่งแรกที่เราจะพบคือพื้นที่ในการทำงานที่เรียกว่าDashboard ในหน้านี้จะมีเมนู 2 ส่วนหลักคือ
- Admin Menu ทางด้านซ้ายมือซึ่งเป็นเมนูให้คุณเลือกปรับแต่งจัดการกับหน้าเว็บของคุณ
- Toolbar ที่อยู่ด้านบนซึ่งเป็นทางลัดไปยังเครื่องมือต่าง ๆ
เราสามารถตั้งค่าเว็บไซต์โดยเลือกเมนู “setting” ที่อยู่ใน Admin Menu ทางซ้ายมือ ซึ่งเราต้องตั้งค่าใน 4 ส่วนหลัก ๆ ดังนี้
4.1 General Setting: การแสดงผลทั่วไปบนเว็บไซต์
– Site title: ชื่อเว็บไซต์ที่ต้องการให้แสดงผลบน Title bar
– Tagline: คำอธิบายเว็บไซต์โดยย่อที่ต้องการให้แสดงผลบน Title bar
– Site Address (URL): ที่อยู่เว็บไซต์ WordPress ของคุณ
– การตั้งค่าส่วนอื่นๆ เช่น อีเมล, Time zone, รูปแบบการแสดงวันที่
4.2 Reading: การตั้งค่าการอ่านสำหรับผู้อ่าน
เป็นส่วนในการตั้งค่าการแสดงผลของบทความบนหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเราสามารถเลือกแสดงบทความล่าสุด หรือการกำหนดการแสดงผลของบทความ และรวมไปถึงการกำหนดจำนวนต่างๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน
4.3 Writing: ตั้งค่าการเขียนบทความ
สามารถตั้งค่าการเขียนบทความ ได้ดังนี้
– Default Post Category: กำหนดหมวดหมู่เริ่มต้นให้บทความที่เขียนขึ้นใหม่
– Default Post Format: กำหนดรูปแบบของบทความซึ่งขึ้นอยู่กับธีมที่คุณเลือกใช้
4.4 Discussion: ตั้งค่าการสนทนาหรือการแสดงความคิดเห็น
– Default article setting: เป็นการกำหนดค่าเริ่มต้นของบทความ
– Allow link notifications: อนุญาตให้แจ้งเตือนว่ามี link จากเว็บไซต์อื่นมาอยู่ในcomment
– Allow people to post comments: การอนุญาตให้ผู้เยี่ยมชมเขียนแสดงความคิดเห็น, คำติชมได้
– การตั้งค่าอื่น ๆ ในหัวข้อนี้คุณสามารถกำหนดเพิ่มเติมในภายหลังได้
ก่อนที่เราจะทำการเลือก Theme ที่จะใช้บนหน้าเว็บไซต์ เราจะต้องมีการคิดอัตลักษณ์ของแบรนด์ หรือ Corporate Identity ให้ดีเสียก่อนและค่อยนำมาเลือก Theme ที่จะใช้บนหน้าเว็บไซต์เพื่อสร้างตัวตนของแบรนด์ที่ชัดเจนและให้เป็นที่น่าจดจำ สำหรับการเลือกTheme สามารถเข้าไปที่เมนู Appearance ใน Admin bar แล้วเลือกเมนู Themes ซึ่งภายในจะมี Theme ให้เราได้เลือกใช้งานมากมาย ซึ่งก็จะมีทั้งแบบฟรี และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
6. ปรับแต่งเว็บ ด้วย Plugin ที่จะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น
สำหรับ Plugin ที่น่าสนใจที่ควรจะมีในหน้าเว็บไซต์ของเรา มีดังนี้
6.1 ปลั๊กอินป้องกัน: Akismet Plugin ตัวช่วยเรื่องเกี่ยวกับการป้องกัน Spam ของคอมเม้นท์ต่างๆ จากผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา
6.2 ปลั๊กอินสร้างฟอร์ม: Contact Form7 ใช้สำหรับสร้างฟอร์มติดต่อ เช่น Contact us, สอบถาม, ขอใบเสนอราคา เป็นต้น
6.3 ปลั๊กอินแชร์: Seed Social ใช้สำหรับการแชร์บทความไปยัง Social Media ต่างๆ เช่น Facebook, Google, Twitter หรือ Line เป็นต้น
6.4 ปลั๊กอิน SEO: Yoast SEO เป็นปลั๊กอินเสริมประสิทธิภาพ SEO จะช่วยในเรื่องโครงสร้างของเว็บไซต์ให้ถูกต้องตามหลัก SEO เวลาเราเขียนบทความ ระบบจะแสดงไฟเขียว-ส้ม-แดง ให้เราทราบว่าควรปรับปรุงตรงไหน เพื่อให้ถูกต้องตามหลัก SEO On-Pageและในแง่ของโครงสร้างเว็บไซต์จะช่วยในเรื่อง Sitemap, Breadcrumb อีกด้วย
6.5 ปลั๊กอินร้านค้า: Woocommerce มีฟังก์ชันสำหรับทำร้านค้าออนไลน์ เช่น ระบบตะกร้า, ขนส่ง, การชำระเงิน, ระบบสมาชิก, ระบบจัดการหลังร้าน, ระบบเช็คออเดอร์ ทำให้เรามีเว็บขายของออนไลน์ได้ฟรีๆ
เริ่มจากไปที่ Admin Menu แล้วเลือกหัวข้อ Posts และเลือก Add New เพื่อสร้างบทความ ซึ่งจะมีส่วนต่างๆ ที่คุณต้องทำความเข้าใจ ดังนี้
เมื่อทำการตกแต่งหน้าเว็บไซต์ และโพสต์บทความตามที่ต้องการแล้ว ก็มาสู่การทดลองใช้งานเว็บไซต์และใช้งานจริง โดยสามารถเข้าไปดูหน้าเว็บไซต์ที่เมนู Visit Website เพื่อดูหน้าตาเว็บไซต์ของจริง และทำการทดลอง ประเมิณว่าพอใจมากน้อยเพียงใด หากยังไม่พอใจก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา
จะเห็นได้ว่าการทำเว็บไซต์ไม่ได้ยากหากเรามีตัวช่วยที่ดี ที่จะทำให้เราทำงานได้ง่าย และสะดวกมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งสำคัญหลังจากที่เราได้หน้าเว็บไซต์แล้ว คือ การอัปเดตข้อมูลบนหน้าเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการอัพเดตและสื่อสารข้อมูลของแบรนด์ไปยังลูกค้าได้อย่างตรงจุด จนสามารถปิดการขายและเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจได้ในที่สุด
แหล่งที่มา: taokaemai.com/8-ขั้นตอนทำเว็บไซต์ธุรกิ/
Counter: 3575